บทที่ 11 จะนอนคนเดียว
จิ่วเม่ยเห็นเนื้อกระต่ายที่มีมาก แม้จะย่างไปแล้วหนึ่งตัว ต้มทำน้ำแกงอีกตัว หากพวกเขาสามคนคงกินกันไม่หมด จึงได้ให้ซูเต๋อไปชวนท่านลุงหวงและท่านป้าหวงมากินข้าวที่เรือน
เมื่อทั้งสองมาถึง จิ่วเม่ยนางก็ยกของขึ้นตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ป้าหวงที่เห็นเนื้อกระต่ายมากมายจึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“อาเม่ยเจ้าไปเอาเนื้อกระต่ายมากมายมาจากที่ใด”
“ข้าออกไปจับมาขอรับ” เป็นซูเต๋อที่เอ่ยตอบ
ชาวบ้านไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าเขามีฝีมือเรื่องจับสัตว์ป่าไม่น้อย หากมีเวลาว่าง นางไห่ซื่อไม่เคยจะคิดให้เขาได้พัก นางให้เขาเข้าป่ามาตั้งแต่เด็ก
วันใดที่ไม่สามารถหาของติดไม้ติดมือมาได้ เขาจะถูกนางลงโทษไม่น้อย
“เช่นนั้นหรือ ดีแล้ว ต่อไปเจินเออร์ของข้าคงมีเนื้อกินทุกมื้อ” ป้าหวงเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
แต่ซูเต๋อได้แต่ยิ้มแห้ง หากเขาไม่กลับมา เขาก็เชื่อว่าบุตรสาวตัวน้อยของเขานางจะต้องมีเนื้อกินทุกมื้ออย่างแน่นอน
เมื่อมีคนมาเพิ่มอีกสองปาก อาหารที่จิ่วเม่ยทำมากมายก็หมดลงจนไม่มีเหลือ ซูเจินลูบท้องของนางอย่างพอใจ กระต่ายย่างกว่าครึ่งถูกบิดาแกะวางในชามของนางอย่างใส่ใจ
นางก็ไม่ปฏิเสธกินทั้งหมดลงไปอย่างเชื่อฟัง จนผู้ใหญ่ทั้งสี่อดจะส่ายหน้าไม่ได้ ลุงหวงถือสุราติดมือมาด้วย จึงได้นั่งดื่มพร้อมทั้งเอ่ยถามเรื่องในกองทัพกับซูเต๋อ
ซูเจินนางนั่งเท้าคางฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่อาจต้านทานหนังตาที่จะปิดลงมาให้ได้อยู่ตลอด จิ่วเม่ยหัวเราะอย่างขบขัน ก่อนจะอุ้มนางไปล้างหน้าแล้วพาเข้านอน
“นอน” ซูเจินนางชี้มือไปที่ห้องข้างที่อยู่ติดกับห้องของบิดามารดา
“เจินเออร์ จะนอนห้องข้างหรือลูก”
“อืม” นางพยักหน้าอย่างงัวเงีย
“ไม่ได้ เจ้ายังเล็กนัก”
“นอน นอน” ครั้งนี้ซูเจินงอแงอย่างเห็นได้น้อย ป้าหวงที่ได้ยินเสียงของนางโวยวายจึงได้เดินเข้ามาดู
“เกิดอันใดขึ้น”
“เจินเออร์ นางจะนอนห้องนี้ผู้เดียวเจ้าค่ะ”
“เพ้ย เจ้าเด็กดื้อ เหตุใดถึงได้งอแงในวันที่บิดาเจ้ากลับมาเล่า” ป้าหวงเอ่ยตำหนิอย่างไม่จริงจังนัก
“น้อง” นางตบไปที่ท้องของมารดาแล้วพูดออกมา
“ฮ่า ฮ่า เจ้าเด็กแสบ” ป้าหวงหัวเราะลั่น
ลุงหวงกับซูเต๋อต้องเดินเข้ามาดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่ก็เห็นป้าหวงที่หัวเราะไม่หยุด และจิ่วเม่ยที่ยืนอุ้มซูเจินที่ใกล้จะหลับหน้าแดงก่ำ
“เกิดอันใดขึ้นขอรับ”
“เจินเออร์ เจ้าเด็กแสบ จะไปนอนห้องข้าง นางอยากจะมีน้อง ฮ่า ฮ่า” ป้าหวงหัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างชอบใจ
กลายเป็นซูเต๋ออีกคนที่หน้าแดง ลุงหวงก็หัวเราะไปด้วยกับภรรยา เขาอดที่จะมองซูเจินอย่างชื่นชมในความรู้งานของนางไม่ได้ เหตุใดหลานทั้งสองของเขาจึงได้ไม่ครึ่งของนางเลย
เพราะความไม่ยอมของซูเจินที่จะเข้าห้องเดิม นางงอแงจนจิ่วเม่ยต้องพานางเข้าไปนอนในห้องข้าง พอซูเต๋อส่งป้าหวงและลุงหวงกลับไปแล้วจึงได้เข้ามาดูนางสองแม่ลูก
ก็เห็นซูเจินนางหลับสนิท โดยมีสหายของนางทั้งสามนอนอยู่บนผ้าห่มของนางอีกที
“ทิ้งนางไว้ได้รึ” ซูเต๋อเอ่ยถามอย่างกังวล เพราะซูเจินนางเพิ่งจะขวบเดียว
“นางมักจะอยู่ผู้เดียวได้ โดยที่ไม่ต้องให้ข้าอยู่ด้วย ตอนที่ข้าทำนา นางก็นั่งเล่นของนางผู้เดียว” จิ่วเม่ยเอ่ยเรื่องของซูเจินออกมา
“พวกเราวาสนาดีนัก ที่ได้นางเป็นบุตรสาว” ซูเต๋อลูบใบหน้าของบุตรสาวอย่างรักใคร่ เขามองภรรยาที่ยังสวยไม่สร่างของเขาอย่างแฝงความหมาย ก่อนจะพากันเดินเข้าไปในห้องของตน
ซูเจินนางไม่อยากตื่นขึ้นมาเพราะเสียงของบิดามารดา นางจึงได้ร้องจะมานอนห้องข้างแทน
รุ่งเช้า เป็นซูเต๋อที่เข้ามาดูบุตรสาวที่ห้องด้านข้าง เห็นว่านางยังนอนหลับสนิท เขาก็ออกไปเตรียมต้มน้ำ และทำอาหารเช้าแทนจิ่วเม่ยที่ยังคงนอนพักต่ออยู่บนเตียง
พอจัดการเรื่องทำอาหารเรียบร้อย ซูเต๋อเข้ามาดูซูเจินอีกครั้ง ก็เห็นนางลุกขึ้นนั่งรออยู่ที่เตียงนอนแล้ว
“เจินเออร์เด็กดี วันนี้พ่อจะพาเจ้าไปล้างหน้า” ซูเต๋อก้มตัวลงอุ้มซูเจินเดินไปด้านหลังเรือน พอจัดการบุตรสาวเรียบร้อย จิ่วเม่ยนางก็ตื่นพอดี
“ท่านพี่เหตุใดไม่เรียกข้า” นางรับตัวซูเจินไปจากสามี
“หึหึ ให้เจ้านอนต่ออีกสักหน่อยจะเป็นอันใดเล่า” ซูเจินเห็นสายตาของท่านพ่อที่มองท่านแม่ นางได้เบือนหน้าหนีเพราะเขินอายแทน
“วันนี้ข้าจะเข้าป่า” ซูเต๋อเอ่ยออกมาในตอนที่กินข้าวอยู่
ถึงแม้บุตรสาวจะเก่งกาจเรียกเนื้อให้มาหาถึงเรือนได้ แต่คนที่ทำงานมาตลอดเช่นเขา ก็ไม่อาจจะเฉยๆ แต่ที่เรือนได้
“ด้วย” ซูเจินยกมือขึ้น ดวงตาของนางเปล่งประกายอย่างคาดหวัง
“หึหึ เจ้าเด็กแสบ พ่อจะพาเจ้าไปได้อย่างไร” ซูเต๋อขยี้ผมบุตรสาวที่นั่งกินข้าวด้วยตนเองได้แล้ว
“ด้วย ได้ ด้วย” ซูเจินนางอยากจะสื่อสารให้เขาเข้าใจว่านางอยากไปมากเพียงใด
“เช่นนั้นไปกันหมดเลยดีหรือไม่เจ้าคะ” จิ่วเม่ยนางก็ไม่ได้ขึ้นเขามานานแล้ว จึงอดที่จะอยากไปด้วยไม่ได้
ซูเต๋อเห็นสายตาของสองแม่ลูกที่มองมาทางเขาเหมือนกันไม่มีผิด ได้แต่ถอนหายใจออก “ได้”
“เย้” ซูเจินชูมือขึ้นอย่างดีใจ นางอยากจะเข้าไปสำรวจป่ายุคโบราณแทบแย่แล้ว
ไม่คิดว่าไม่ต้องรอให้โตจนเข้าไปเพียงลำพังได้ มีแค่ท่านพ่อ ตอนนี้นางก็ได้เข้าเลย
ทั้งสามเตรียมของที่จะขึ้นเขา ซูเจินถูกจับให้นั่งลงในตะกร้าที่ปูรองด้วยผ้าอยู่ด้านหลังของท่านพ่อนาง
สามคนพ่อแม่ลูกถูกชาวบ้านที่พบเจอระหว่างทางเอ่ยถามไปตลอด ซูเจินยิ้มจนเห็นฟันคู่หน้าของนางอย่างน่าเอ็นดู
